10 ประเทศน่าเที่ยวสำหรับคนงบน้อยแต่รักการท่องโลกกว้าง

คือหลายๆทริปก็ใจรักนะ แต่เงินในกระเป๋ามันไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ อะไรที่พอจะช่วยให้ได้ออกท่องโลกกว้างแบบสบายกระเป๋าก็เป็นเรื่องที่ดีใช่ป่าวล่ะ จากที่เป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ แพ็คกระเป๋าแล้วลุยได้เลยอย่างผม พอจะตะลุยโลกกับเค้าบ้างก็คงต้องวางแผนซักหน่อยแล้วหล่ะ ไม่งั้นคงไม่รอด บางทีข้อมูลก็เป็นสิ่งสำคัญนะเออ นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มซะหน่อย แล้วไอ้เราก็ดันไปเจอข้อมูลจากเว็บรวมคนชอบท่องโลกเข้าเว็บนึง คือ @PROJECTINSPO  เห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ดีมาแปะไว้สำหรับเป็นข้อมูลท่องโลกกว้างซะเลย เอาไว้ดูเองหรือเผื่อมีใครสนใจข้อมูลเอาไว้จัดทริปเที่ยวกัน ประเดิมด้วยประเทศแรกคือ

1. นิการากัว(Nicaragua)

nicaragua
นิการากัว

นิการากัวเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกากลางครับ ประเทศนี้เพิ่งผ่านภัยธรรมชาติและความไม่สงบทางการเมืองมาเมื่อปีก่อนเอง แต่ก็มีข่าวที่น่ายินดีคือ เค้าฟื้นตัวเร็วมาก พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น กลายเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆในการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆไปได้เยอะพอควรเลยทีเดียว เมืองต่างมีความสวยงาม ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆดูมีชีวิตชีวา น่าไปเยือนซักครั้ง

แถมราคาข้าวของต่างๆก็ไม่แพงเท่าไหร่ จ่ายไป $25 เหรียญ ก็ได้ห้องพักส่วนตัวอย่างดีจากโรงแรมคุณภาพดีแล้ว หรือไม่ก็จ่าย $6-12 เหรียญสำหรับห้องพักทั่วไป แถมเรายังหาเช่าเปลญวนได้ทั่วไปในราคาเพียง $5 เหรียญเท่านั้นเอง

ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ตกอยู่ที่ประมาณ $2 เหรียญเอง พอๆกับบ้านเราแหละ ถ้าเข้าร้านอาหารดีๆหน่อยก็ตกประมาณ $3-5 เหรียญ อันนี้ก็พอๆกับบ้านเราอีกเหมือนกัน

แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงบประมาณในการท่องเที่ยวแต่ละวันมากนัก ทริปเดินป่า ขึ้นเขาลงห้วย ท่องภูเขาไฟ เล่นเซิฟบอร์ด ก็ตกราวๆ $10-30 เหรียญเท่านั้นเอง

2. ตุรกี(Turkey)

Turkey
ตุรกี

ประเทศนี้ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ตัวผมเองสนใจเช่นกัน(ฉันต้องไปให้ได้) จากที่ได้ยินมา ประเทศนี้เป็นประเทศที่รวมวัฒนธรรมความเป็นตะวันตกกับตะวันออกไว้ด้วยกัน ตึกรามบ้านช่องเค้าเป็นอะไรที่สวยงามตื่นตาตื่นใจมาก แถมด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายอีกต่างหาก อาหารก็อร่อย สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมากมาย แถมเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆให้ทำอีกเยอะแยะ

อาหารหลักๆ อย่างชาวาร์มา(shawarma)ก็ไม่แพงเท่าไหร่ ราคาราวๆ 2$ เหรียญ (ดูจากรูปและจากวิกิเค้าบอกมันเป็นเหมือนเนื้อเสียบไม้ย่าง เดี๋ยวคงต้องลองไปหาชิมดูแล้วหล่ะ ใครรู้จักรบกวนบอกผมด้วยนะครับ) ที่พักในเมืองต่างๆทั่วประเทศก็อยู่ที่ประมาณ $20-30 เหรียญต่อคืนเท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงมากสำหรับประเทศในยุโรป

สำหรับคนที่วางแผนจะปักหลักที่นี่ซักสองถึงสามอาทิตย์เพื่อเที่ยวรอบประเทศ อันนี้ก็มีรถบัสราคาถูกวิ่งทั่วประเทศหลายเที่ยวอยู่เหมือนกัน แล้วก็มีรถบัสตลอด 12 ชั่วโมงที่วิ่งจากอีสตันบูลทางตะวันตกไปคาปาโดเซียทางตอนกลางของประเทศในราคา $30 เหรียญด้วย

3. ศรีลังกา(Sri Lanka)

Sri-Lanka
ศรีลังกา

ศรีลังกา ประเทศใกล้ๆบ้านเราเอง หนึ่งในประเทศที่ผมเองก็เล็งไว้เหมือนกัน เพราะเพื่อนไปมาเยอะ มีแต่คนบอกว่าดีงาม(รึเปล่าหว่า) สามารถนอนตามหาดในโรงอาบน้ำและหาของกินตลอดทั้งวันในราคาราวๆ $20 เหรียญเท่านั้นเอง

การเดินทางท่องเที่ยวก็มีรถบัสสำหรับตะลอนเที่ยวทั่วประเทศราคาราวๆ $20 เหรียญเท่านั้น หรือจะเช่ารถพร้อมคนขับเพื่อตะลอนเที่ยวทั้งวันก็ตกประมาณ $55-70 เหรียญเท่านั้นเอง(ก็คุ้มอยู่นะ) อาหารท้องถิ่นต้นตำหรับก็ไม่แพง ราคาประมาณ $2-4 เหรียญเอง ถือว่าโอเค หรือถ้าใครติดใจอยากอยู่ต่อ ตั้งรกรากเลย(เวอร์ไปงั้นหล่ะ) ก็สามารถหาห้องพักดีๆในเกสเฮาส์แถมวิวสวยๆในราคาเพียง $20 เหรียญต่อคืน หรือถูกกว่านั้นก็มีเยอะแยะไป

อย่างนึงที่ต้องคิดหนักคือ ราคาสำหรับนักท่องเที่ยวกับราคาสำหรับคนท้องถิ่นนั้นต่างกันมากโขอยู่ พวกแหล่งโบราณคดีดังๆที่มีชื่อเสียง หรือพวกอุทยานแห่งชาติต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกันจะมีค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวประมาณ $30 เหรียญ ในขณะที่มันเข้าฟรีสำหรับคนท้องถิ่น(เหมือนบ้านฉันเลยจ้า จะภูมิใจดีมั้ยเนี่ย ถอนหายใจเฮือกนึง)

4. กัมพูชา(Cambodia)

cambodia
กัมพูชา

กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ผมก็เล็งไว้เหมือนกัน ประเทศนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมายอย่างที่เรารู้ๆกัน อาหารอร่อยต่างๆมากมาย แสงสียามค่ำคืนก็สวยงามไม่แพ้เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและไทยเราเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความที่ยังไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่นักท่องเที่ยวก็เลยไม่ค่อยแวะเวียนไปมากเท่าที่ควรจะเป็น กัมพูชานั้นอยู่สุดปลายทางของภูมิภาคนี้พอดี เพราะงั้นถ้าใครอยากสำรวจให้ทั่วภูมิภาคนี้ให้ทั่วก็ห้ามพลาดกัมพูชาอย่างเด็ดขาดนะครัช

อาหารการกินไม่แพงมาก ราคาราวๆ $1-3 เหรียญ ไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหารดีๆหรืออาหารข้างทางเหมือนบ้านเราก็ราคาพอๆกัน ประหยัดตังในกระเป๋าได้ดีเลยทีเดียว

ราคาค่าห้องพักต่อคืนก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ห้องอย่างดีราคาตกประมาณ $4 เหรียญ และห้องแอร์ก็ตกราวๆ $6-8 เหรียญ ตีเป็นเงินบาทก็ถูกใช้ได้เลยทีเดียว อันนี้ผมให้ผ่าน ฮ่าๆๆ หรือถ้าอยากได้ห้องหรูขึ้นไปกว่านั้นอีก ชอบความไฮโซราคาห้องก็อยู่ที่ $15-20 เหรียญเท่านั้นเอง มันดีก็ตรงนี้แหละ

ประเทศนี้เค้ามีตุ๊กตุ๊กรับจ้างเหมือนบ้านเราด้วยแหละ ดีงามมาก ใช้เดินทางระหว่างแหล่งท่องเที่ยวต่างๆไปยังขนส่งสาธารณะ โบกตุ๊กตุ๊กระยะทางใกล้ๆก็จ่ายแค่ 1$ เหรียญเอง หรือจะเช่าตุ๊กตุ๊กเที่ยวตะลอนรอบนครวัด และสถานที่ดังๆทั่วประเทศทั้งวันในราคาประมาณ 13$ ก็ถือว่าไม่แพงเกินไป

แต่ขอแนะนำไว้อย่างนึงว่าอย่าไปฟังคนขับมาก ต้องตกลงกับคนขับให้ชัดเจนไปเลยว่าจะไปที่ไหนบ้าง เพราะคนขับชอบทำรอบเพื่อให้ได้ตังเยอะๆ อันนี้เพื่อนผมแนะนำมาอีกที เพราะเค้าเพิ่งเจอกับตัวเองมา ซึ่งคนเป็นนักท่องเที่ยวก็คงไม่ปลื้มเท่าไหร่เพราะอยากเที่ยวชิลๆมากกว่าจะให้ใครมาเร่งเรื่องเวลา

5. เนปาล(Nepal)

Nepal
เนปาล

เดินป่าขึ้นเทือกเขาหิมาลัยเป็นอะไรที่ฮิตสุดแล้วสำหรับเนปาล แต่ก็ต้องดูให้ดีเพราะมีให้เลือกหลายจ้าวมาก เดินหาได้ตลอดถนนทั้งแถบในกาฎมันฑุ หลังจากนั้นก็พักยกยามเย็นกับอาหารพื้นบ้านเนปาลในร้านอาหารหรือภัตตาคารรอบๆได้สบายๆ เปิดยันดึก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวชอบเดินทางไปเยี่ยมชมวัดที่เต็มไปด้วยลิง แล้วก็ไปอธิษฐานขอพรกับพระพุทธรูปยักษ์และศาสนสถานของชาวฮินดูที่มีเป็นศาสนาสำคัญของประเทศนี้

สำหรับเมืองหลวงอย่างกาฎมันฑุโรงแรมหรือห้องพักในละแวกนี้ราคาอยู่ที่ราวๆ $5-25 เหรียญ หาร้านนั่งชิล หาของกินก็ราวๆ $2-4 เหรียญ

หรือใครอยากจะไปผจญภัยตะลุยป่า เที่ยวซาฟารี ปั่นจักรยานสำรวจ ล่องแก่ง หรือเดินป่า ตะลุยเทือกเขาหิมาลัยก็ทำไปเถอะ มาถึงถิ่นดินแดนแห่งหลังคาโลกทั้งที ที่นี่ทางขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์นะเออ อย่าพลาด เอาให้คุ้มครัช

อาหารการกินที่นี่ก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ มีขายในโรงแรมที่เราพักราคาอยู่ที่ประมาณ $10-12 เหรียญ แล้วเรายังสามารถหาไกด์พาตะลอนเที่ยวทั่วทั้งแถบในราคาแค่ $15-25 เหรียญเท่านั้นเอง

6. ไทย(Thailand)

ชายหาด ถ้ำพระนาง กระบี่
ชายหาด ถ้ำพระนาง กระบี่

ภูมิใจนำเสนอมากประเทศนี้ บ้านฉันเอง ประเทศไทยครับ ใครๆก็ชอบ ใครๆก็อยากมา(เชียร์เกินหน้าเกินตามาก) ที่นี่ค่าครองชีพถูกจริงเหรอ? อันนี้แน่นอนครับ สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วทุกคนบอกว่าถูก อันนี้ผมถามมาเยอะแล้วว่าทำไมถึงมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อนผมทุกคนที่เจอระหว่างทริปบอกว่ามันถูก เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะ(ผมไม่ได้เชียร์จนออกนอกหน้า)

บ้านเราสามารถหาที่พักราคาประมาณ 7$ เหรียญได้ในเมืองทั่วไป และ $4 เหรียญในแถบนอกเมืองหรือตามต่างจังหวัด หรือถ้าอยู่ในเกาะแล้วอยากได้ห้องแอร์ด้วย ราคาเริ่มต้นก็ตกประมาณ 17$ เหรียญเท่านั้นเอง(ก็มันเป็นแหล่งท่องเที่ยวแหละเนาะ แพงกว่าที่ทั่วไปหน่อยนึง) ส่วนถ้าเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ททั่วไปก็จ่ายประมาณ $40 เหรียญต่อคืน หรือถ้าอยากได้รีสอร์ทใหญ่ๆบนเกาะที่มีชายหาดสวยๆ วิวดีๆก็จ่ายประมาณ 50$ ต่อคืน ก็ถือว่าโอเคนะ

อีกอย่างนึงที่เพื่อนๆที่เจอกันบอกเป็นเสียงเดียวกัน ประเทศนี้หาของกินได้แทบจะตลอดเวลา อาหารการกินสมบูรณ์มาก อันนี้จริงครับ รู้ๆกันอยู่ ราคาก็ไม่แพงมาก มีตั้งแต่ $0.65 เป็นต้นไป หรืออย่างมากก็ $3-5 เหรียญในร้านอาหารดีๆ หรือภัตตาคาร เพื่อนๆต่างชาติส่วนใหญ่มักจะมีปัญหากับอาหารข้างทาง กินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน(คือเจอส้มตำปาร้าก็ฟาดเรียบอะไรแบบเนี้ย มันก็ท้องเสียสิ่) แต่จริงๆอาหารส่วนใหญ่ปลอดภัยแน่นอน ถ้าไม่กินอะไรแผลงๆจริงๆ แต่สำหรับคนไทยเราไม่น่าจะมีปัญหาแน่นอน บางทีของดีๆ แซ่บๆ หาได้ตามข้างทางด้วยซ้ำ ไม่ต้องง้อร้านอาหารแพงๆหรือภัตตาคารดังๆด้วยซ้ำ เลิศป่าวล่ะบ้านโผม

การเดินทางก็แสนสะดวก ค่ารถบัสรถเมย์ก็ถูก ราคาแค่ $0.25 เหรียญต่อเที่ยวเท่านั้นเอง แถมโซนกลางเมืองในกรุงเทพยังมีรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอสให้ใช้โดยสารในราคาแค่ $0.50-1.50 เหรียญเท่านั้นเอง เท่านั้นยังไม่พอ แถมยังมีแท็กซี่หลากหลายสีสันให้เลือกโบก(จะจอดรับรึเปล่าอีกเรื่องนึง)ในราคาแค่  $1.75-3 เหรียญเท่านั้น ยังครับยัง ยังไม่หมด จะลืมตุ๊กตุ๊กไปได้ยังไง บ้านเราก็มีตุ๊กตุ๊กครับ สุดยอด อเมซิ่งไทยแลนด์ ราคาราวๆ $3-7 เหรียญ พาตะลอนไปทุกที่เลยครัช

ใครที่อยากจะหนีจากเมืองหลวงไปสำรวจโซนอื่นบ้าง บ้านเราก็มีรถไฟให้ใช้ครับ ช่วงกลางวันราคาราวๆ $7 เหรียญ เอง หรือชั้นดีเลิศก็แค่  17$ เท่านั้น ส่วนใครชอบเที่ยวเกาะก็มีเรือแล่นระหว่างเกาะมากมายในราคาแค่ $7-14 เหรียญเท่านั้นเอง มันสุดยอดจริงๆสำหรับประเทศเรา(นี่ไม่ได้เชียร์ออกนอกหน้าจริงๆนะ)

7. เปรู(Peru)

Peru-Machu-Picchu
เปรู

ประเทศนี้อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเช่นกัน ผมมีเพื่อนที่เจอกันที่เชียงใหม่คนนึงมาจากที่นี่ หนุ่มละตินพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฟังยากนิดๆ แต่พอสลับเป็นสเปนแล้วสำเนียงพลิ้วมาก กับสาวโบลิเวียคนนึงมาตะลุยบ้านเราเพื่อเที่ยวงานลอยโคมที่เชียงใหม่ด้วยกัน ฟังที่พวกเค้าเล่าถึงบ้านเมืองเค้าแล้วอยากไปสัมผัสซักครั้งเหมือนกัน แถมประเทศนี้เรายังสามารถไปตะลอนเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้นานถึง 90 วันอีกด้วย เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยความที่มันเป็นที่นิยมก็เลยทำให้เราหาที่พักราคาถูกได้ทั่วไป ช่วงที่เหมาะจะไปเที่ยวที่เปรูนั้นอยู่ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม-กันยายน และตุลาคม ช่วงนี้ผู้คนไม่พลุกพล่านมาก นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะมาก และแน่นอนว่าราคาข้าวของทั่วไปก็ถูกด้วย ห้องพักทั่วไปราคาอยู่ที่ประมาณ $8-15 เหรียญต่อคืน หรือห้องส่วนตัวอย่างดีราคาตกประมาณ $25-35 เหรียญ  หรือชอบโรงแรมหรูหน่อยก็เริ่มที่ประมาณ $30-50 เหรียญต่อคืน

ดีอย่างนึงคือที่นี่หาของกินได้สะดวกเหมือนบ้านเราเลย มีขายตามข้างทาง ตามตลาดต่างๆ ราคาประมาณอย่างละ $1-2 เหรียญ หรือจะหาร้านนั่งชิลก็ตกประมาณ $4-6 เท่านั้นเอง นี่มันคล้ายๆกรุงเทพบ้านเราเลยนี่หว่า

ที่นี่เค้ามีรถบัสให้ตะลอนเที่ยวด้วยหล่ะ ราคาประมาณ $30-70 เหรียญต่อ 10 ชั่วโมง(ก็คุ้มอยู่นะผมว่า) และก็มีแท็กซี่เหมือนบ้านเรา ราคาแท็กซี่ในลิมา เมืองหลวงของประเทศนี้ราคาไม่เกิน $8 เหรียญ หรือจะเลือกโดยสารไปกับรถบัสที่วิ่งภายในเมืองคล้ายๆกับรถเมย์บ้านเราก็ได้ในราคาประมาณ $0.50-1 เหรียญต่อเที่ยว

เที่ยวชมแหล่งโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆในเปรูอาจจะเป็นอะไรที่เสียตังเยอะสุดสำหรับทริปในการตะลุยเปรูแล้วหล่ะ การตะลอนเที่ยวมาชูพิกชูวันนึงก็ตกประมาณ $50 เหรียญ แล้วเรายังสามารถจองเฮลิคอปเตอร์สำหรับเที่ยวตามเส้น Nasca Line เป็นระยะทางประมาณ 35 นาทีได้ในราคาประมาณ $97 เหรียญ ถ้าใครมีเวลาหลายวันอยากไปตามรอยชนเผ่าอินคาโบราณเค้าก็มีไกด์นำเที่ยว มีลูกหาบให้ ราคาต่อทริปก็ตกประมาณ $100 เหรียญเท่านั้นเอง

8. อินโดนีเซีย(Indonesia)

Indonesia
อินโดนีเซีย

อินโดนีเซีย หมู่เกาะในแถบเส้นศูนย์สูตร เพื่อนบ้านของเรานี่เอง ไม่ใกล้ไม่ไกลมาก ใครอยากเห็นลิงอุรังอุตังก็ที่นี่เลยครับ มังกรโคโมโดก็ที่นี่อีกเหมือนกัน เดินป่า ปีนภูเขาไฟ กิจกรรมหลากหลายมากมาย หรือใครชอบชายหาดสวยๆ ชิลๆบนหาดทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้ สวรรค์สำหรับคนรักทะเลของแท้เลยหล่ะ

โรงแรมทั่วไปก็ราคาไม่แพงสักเท่าไหร่ ราคาตกอยู่ประมาณ $15 เหรียญต่อคืนเท่านั้นเอง แต่ถ้าอยากได้โรงแรมดีขึ้นมาหน่อย ขาดแอร์ไม่ได้ก็ขยับราคาขึ้นมาที่ $25-$30 เหรียญ ก็ยังพอรับได้อยู่ ไม่ถือว่าแพงมากสำหรับความสะดวกสบายที่ได้มา

แต่ประหยัดกว่านั้นก็มีครับ พวกห้องพักตามเกสเฮาส์ต่างๆ ราคาราวๆ $2-4 เหรียญเท่านั้นเอง แต่ราคาก็จะแพงหน่อยสำหรับพวกเกาะต่างๆทีมีชื่อเสียงที่นักท่องเที่ยวเค้าฮิตไปเที่ยวกัน โดยราคาห้องแอร์อยู่ที่ประมาณ $11-17 เหรียญต่อคืนสำหรับพัก 2 คน(ก็ถือว่าคุ้มอยู่นะ)

อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอดครับ อาหารจานเดียวกับพวกอาหารข้างทางเหมือนบ้านเรามีเพียบ ราคาราวๆ $0.50-2 เหรียญเท่านั้นเอง และอาหารท้องถิ่นอย่างนาซีจัมปูร์(มันคืออะไรเดี๋ยวผมหาข้อมูลมาอธิบายอีกที ใครรู้บอกผมด้วย)ราคาอยู่ที่ประมาณ $1-2 เหรียญ ร้านสำหรับนั่งชิลที่นี่อาหารราคาอยู่ที่ประมาณ $2-6 เองครับ ประหยัดตังได้เยอะเลย

การเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศนี้เป็นอะไรที่ท้าทายมากครับ เนื่องจากทั้งประเทศเป็นหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยหมู่เกาะต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เรือเฟอร์รี่ เครื่องบิน หรือรถบัสกัน เที่ยวบินจากเมดาน หรือสุมาตราไปจาการ์ต้าหรือชวาราคาอยู่ที่ประมาณ $51 เหรียญ รถบัสจาก Cemoro Lawang ถึง Probolinggo หรือชวา ต่อเรือเฟอร์รี่ไป เดนปาซ่า หรือบาหลี ราคาอยู่ที่ประมาณ $18 เหรียญเท่านั้นเอง

บนเกาะชวาเองก็สามารถเลือกใช้รถไฟในการเดินทางได้ทั่วไป ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกาะนี้เลย ตั๋วรถไฟกลางคืนจากจาการ์ต้าไป Yogyakarta ราคาอยู่ที่ $12 เหรียญ และภายในตัวเมืองเรายังสามารถเลือกใช้บริการต่างๆในการเดินทางได้หลากหลาย ทั้งรถเมย์เหมือนบ้านเรา ตุ๊กตุ๊ก สามล้อ หรือจะเช่ารถจักรยานยนต์ตะลอนด้วยตัวเองก็ราคาไม่เกิน $7 เหรียญต่อวัน รวมน้ำมันให้ด้วย และในบาหลีเองก็มีรถกอล์ฟขนาดเล็กให้เช่าตะลอนเที่ยวกับเพื่อนๆในราคาประมาณ $22 เหรียญต่อวันเท่านั้นเอง

9. โรมาเนีย(Romania)

romania
โรมาเนีย

ตำนานแดร็คคิวล่า ดินแดนแห่งปราสาทสวยๆงามท่ามกลางทุ่งหญ้าอันงดงาม เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และเหมาะกับการท่องเที่ยวที่มีงบประมาณไม่มากอย่างแน่นอน วันหยุดพักผ่อนทั่วไปเหมาะแก่การท่องเที่ยวตามที่ต่างๆและประหยัดตังได้เยอะสำหรับที่นี่ สำรวจมนต์เสน่ห์ของหมู่บ้านในยุคกลาง ปราสาทน่าตื่นตาตื่นใจและหมู่บ้านสวยๆ แล้วลงเรือเฟอร์รี่ไปเที่ยชสามเหลี่ยมปากแม่น้ำดานูบก็เข้าท่าใช่ย่อย

ที่นี่เราสามารถหาห้องพักในโรงแรมราคาประมาณ $8-12 เหรียญ หรือห้องส่วนตัวสำหรับพักสองคนในราคา $25-40 เหรียญ ห้องเดียวหรือห้องสำหรับพักสองคนในโรงแรมราคาถูกจะอยู่ที่ประมาณ $40 เหรียญ

อาหารทั่วไปในโรมาเนียราคาประมาณ $5 เหรียญ ร้านอาหารหรือภัตตาคารในเมืองใหญ่สำหรับท่องเที่ยวอย่าง Brasov  หรือ Sighisoara ราคาอาจแพงขึ้นไปหน่อย อยู่ที่ประมาณ $15-25 เหรียญ ซื้อเบียร์ตามบาร์สำหรับนั่งชิลกันก็ราวๆ $1.50-2.50 แค่นั้นเอง ซึ่งถือว่าถูกกว่าร้านค้าทั่วไปอยู่ดี

รถบัสภายในเมืองและรถไฟแบบเที่ยวเดียวราคาแค่ประมาณ $1 เหรียญเท่านั้น ส่วนระหว่างเมืองราคาเริ่มที่ $10 เหรียญ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกิน $20 เหรียญสำหรับตั๋วชั้นสอง ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆราคาอยู่ที่ประมาณ $5-10 เหรียญ สนุกกับการตะลอนเที่ยวให้เต็มที่กันไปเลยครับ เอาให้คุ้ม

10. (แอฟริกาใต้)South Africa

South-Africa
แอฟริกาใต้

ต้องขอบคุณค่าเงินดอลล่าห์ที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมานะเนี่ย เพราะทำให้ค่าใช้จ่ายในแอฟริกาใต้นั้นถูกลงเยอะเลย จากที่แต่ก่อนแพงกว่านี้เยอะ เที่ยวแอฟริกาใต้ในฤดูท่องเที่ยว(ช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคม และช่วงกันยายนถึงตุลาคม)เป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับเที่ยวแอฟริกาใต้เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าช่วงอื่นแล้วยังเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดอีกด้วย

ประเทศนี้มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลาย มีทั้งเที่ยวชมชีวิตสัตว์ป่า หรือกินลมชมวิวอันสวยงามตามชนบท ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ต่างๆมากมาย

ที่พักต่างๆในแอฟริกาใต้นั้นราคาเริ่มต้นประมาณ $10 เหรียญ อาหารทั่วไปก็ราคาไม่แพงมากอยู่ที่ประมาณ $4-7 เหรียญ หรือจะหาร้านนั่งชิลก็ราคาอยู่ที่ประมาณ $6-12 เหรียญเท่านั้นเอง รถบัสวิ่งรอบเมืองราคาอยู่ที่ประมาณ $0.57-0.66

เป็นไงบ้างครับสำหรับ 10 ประเทศที่ไล่ยาวกันมา หวังว่าจะช่วยในการตัดสินใจจัดทริปสำหรับเพื่อนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ผมเองก็เล็งไว้ทุกที่เหมือนกันแหละ ยังไงก็อย่าลืมเก็บภาพสวยๆมาฝากกันบ้างล่ะ ออ…แล้วก็อย่าลืมเล่าประสบการณ์ต่างๆเกี่ยวกับทริปของเพื่อนๆสู่กันฟังด้วยล่ะ จะในคอมเมนต์ด้านล่างนี้ หรือในโซเชียลมีเดียต่างๆก็ได้ครับ ผมตื่นเต้นเสมอแหละ เวลาได้ฟังหรืออ่านเรื่องราวการท่องเที่ยวของเพื่อนๆในแต่ละสถานที่ต่างๆ มีความสุขกับการท่องโลกกว้างไปด้วยกันครับ

 

เครดิตรูปสวยๆจาก projectinspo.com

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จุดรอยต่อที่สวยงามของสามจังหวัด

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ที่มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ทั้งเลย พิษณุโลกและเพชรบูรณ์ เป็นที่ที่สวยงามและมีความแปลกตา ไปด้วยธรรมชาติและยังเป็นดินแดนของประวัติศาสตร์ที่เป็นยุทธภูมิที่สำคัญอีกด้วย เนื่องมาด้วยความขัดแย้งในหลาย ๆ ด้านจึงทำให้อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เป็นเพียงแห่งเดียวที่ยังคงหลงเหลือประวัติศาสตร์ที่ที่สำคัญของการสู้รบ และยังคงมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ลักษณะภูมิอากาศของที่นี่ก็ก็จะคล้าย ๆ กับภูกระดึง เนื่องจากมีความสูงที่ไล่ระดับกัน ก็จะมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวอุณหภูมิจะต่ำลงประมาณ 4 องศา ซึ่งในฤดูร้อนก็จะเย็นสบายดี
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเป็นอุทยานแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามที่จะแปลกตามากกว่าอุทยานอื่น ๆ โดยที่จะมีจุดสนใจที่แตกต่างอยู่ 2 จุด คือด้านของประวัติศาสตร์และด้านของธรรมชาติ ซึ่งด้านประวัติศาสตร์จะมีเป็นพิพิธภัณฑ์การสู้รบ ที่จะอยู่ใกล้กับทางอุทยาน เป็นสถานที่มนการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสู้รบ มีแผนภาพและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาวุธ และเอกสารที่จะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่สามารถบรรจุคนได้ถึง 80 คน โรงเรียนการเมืองการทหารที่ปกคลุมไปด้วยป่าทึ้บ ก่อตั้งขึ้นมาเป็นโรงเรียนเพื่อการศึกษาตามแนวทางของคอมมิวนิสต์ ได้เปลี่ยนเป็นสถานที่ให้ความรู้ที่มีความสวยงามของใบเมเปิ้ลแดงที่ร่วงหล่นลงมาในช่วงเดือนมกราคม ด้านธรรมชาติจะมีลานหินแตกที่เป็นแนวร่องลึกเหมือนแผ่นดินแยก ซึ่งบางรอยก็มีขนาดเล็กและบางรอยก็มีขนาดใหญ่ มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดมาจากการโก่งตัวของพื้นผิวโลก ทำให้ก้อนหอนสามารถที่จะแตกออกจากกันได้ และลานหินปุ่ม ที่อยู่ริมหน้าผา ลักษณะจะเป็นลานหินที่มีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่ม ๆ ที่มีขนาดที่ไล่เลี่ยกัน ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากการสึกกร่อนไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ยังมีผาชูธงที่อยู่ห่างจากหินปุ่มประมาณ 500 เมตร สามารถมองเห็นวิวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ได้กว้างไกลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการชมพระอาทิตย์ตกดินนั้นถือว่าสวยงามเป็นอย่างมาก
น้ำตกผาลาดตั้งอยู่ทางด้านล่างของหน่วยพิทักษ์ห้วยน้ำไซ ทางเข้าจะผ่านหมู่บ้านชาวม้ง ซึ่งจะเป็นจุดที่ผลิตไฟฟ้าด้วย เพราะเป็นเขื่อนพลังน้ำที่เดินแยกซ้ายแกไป 2 กิโลเมตรก็จะถึงตัวน้ำตก และน้ำจะเป็นลำธารสายใหญ่ที่ดูว่ามาสูงนักแต่ก็มีน้ำหลากตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงเป็นเขื่อนที่สามารถนำเอามาผลิตไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี และน้ำตกดาดฟ้าที่เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากอีแห่งหนึ่งของทางอุทยาน โดยจะต้องเดินเท้าเข้าไปในน้ำตกอีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะได้เล่นน้ำตกน้ำใสและขึ้นชื่อแห่งนี้อย่างสบายใจ

ดอยหัวแม่คำความงามที่มาพร้อมกับลมหนาว

ดอยหัวแม่คำที่มีทุ่งดอกบัวตองเลื่องชื่อ เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ลีซอและอาข่า และสามารถที่จะชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก โดยเฉพาะในช่วงราวเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ดอกบัวตองกำลังจะบานสะพรั่งไปทั้งหุบเขาที่แซมอยู่ตามหมู่บ้านชาวเข้าที่ทำให้ดูสวยงามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อยืนอยู่บนจุดชมวิวมองลงมาก็สามารถเห็นดอกบัวตองเต็มทุ่ง พร้อมเข้ามาถ่ายรูปไปกับธรรมชาติที่สวยงามกันได้อย่างเต็มที่ บนหมู่บ้านชาวเขายังมีดินแดนที่ติดกับพม่า จึงมีความหลากหลายของวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้

ความสวยงามที่มาพร้อมลมหนาวน่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีของดอยหัวคำ ที่มีทุ่งดอกบัวตองที่สวยงามอย่างมาก เมื่อถึงหน้าฤดูหนาวก็จะได้เห็นดอกบัวตองที่มีความสวยงามบานสะพรั่งไปเต็มท่องทุ่ง ซึ่งถือว่าเป็นจุดโดดเด่นอย่างมากของดอยหัวแม่คำ ที่จังหวัดเชียงราย ด้วยความที่เป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศ จึงมีบรรยากาศที่ดีแลอากาศที่บริสุทธิ์ โดยเข้ามาชมทุ่งดอกบัวตองที่ที่มีดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่มอบความงดงามให้กับหุบเขา นอกจากนี้ยังสามารถเข้าชมจุดพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นอย่างดี แล้วแวะเข้าชมหมู่บ้านหัวแม่คำ ที่เป็นเสน่ห์ของดอยแม่คำที่ขึ้นสลับแทรกอยู่ในทุ่งดอกบัวตอง สามารถเข้าไปเดินชมวิถีชีวิตที่มีทั้งชาวบ้านม้ง ลีซอและอาข่า ที่มีความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกัน พร้อมวัฒนธรรมชนเผ่าที่ยังคงอยู่ เมื่อเข้าเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ชาวเหขาจะพากันแต่งชุดประจำเผ่าที่สวยงาม สามารถสร้างตื่นตื่นใจแก่ผู้ที่เข้าชมได้เป็นอย่างดี จากนั้นขันรถเรื่อย ๆ มาสู่วนอุทยานแห่งชาติดอยหัวแม่คำ ที่ตั้งอยู่สูงประมาณ 1,300 เมตร อยู่ห่างออกมาจากหมู่บ้านเพียง 2 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดและสวยงามเป็นอย่างมาก เข้ามาชมจุดวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สลับซับซ้อนเรียงรายกัน จนเกิดความสวยงามที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

สถานที่ท่องเที่ยงทั้งหมดสามารถที่จะเดินทางไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว ที่สามารถข้าถึงสถานที่ที่สวยงามได้อย่างสะดวก พร้อมเข้าชมศูนย์ส่งเสริมเกษตรสูงหัวแม่คำ ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านหันมาปลูกผลไม้เมืองหนาว และมีการถ่ายทอดเทคนิคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกผลไม้เมืองหนาวให้กับเกษตรกรในพื้นที่และใกล้เคียง จบท้ายทริปของวันด้วยการแวะเข้าไปเล่นน้ำใสหรือชมความสวยงามที่น้ำตกหัวแม่คำใหญ่ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหัวแม่คำไปเล็กน้อยเท่านั้น โดยรถอาจจะเข้าไม่ถึงและต้องเดินเท้าต่อไปอีกเพียง 200 เมตร ก็จะได้สัมผัสสายน้ำใสที่ไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาสูงประมาณ 20 เมตรเลยทีเดียว

ชมวิวสวยตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำคืนที่ดอยเสมอดาว

ดอยเสมอดาวอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน ที่มีส่วนพื้นที่ที่เป็นลานกว้างและโค้งไปตามเส้นเขาเหมาะสำหรับการหยุดเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในเวลาเดียวกัน และยังสามารถขมทะเลหมอกในยามเช้าพร้อมทั้งชมดาวและแสงจันทร์ที่สวยงามในยามค่ำคืน ทั้งยังมีวิวจากแสงไฟที่ตัวอำเภอที่พร้อมจะสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้กับคนที่ไปเป็นคู่ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเที่ยวธรรมชาติ และการดูดาวสวยงามในยามค่ำคืน เมื่อตื่นก็เห็นแสงแรกของวันที่สวยงามอีกด้วย

เมื่อเข้าสู่ดอยเสมอดาวนักท่องเที่ยวจะไม่ได้ไปแค่ที่ดอยนี้เท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้เคียงกันมาก ๆ อย่างผาหัวสิงห์ ที่มีรูปร่างคล้ายกับสิงโตนอนหมอบอยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทั้งยังสามารถชมวิวที่สวยงามของธรรมชาติได้ถึง 360 องศา และเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกที่ที่มีสวยงามมาก มีเส้นทางการเดินทางที่เข้าไปสำรวจธรรมชาติ และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักผจญภัยทั้งหลายที่ชอบเดินป่าได้เป็นอย่างดี เพลิดเพลินไปกับการปีนป่ายและผจญภัยมากมายไปกับสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่ใกล้เคียงกัน เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นักท่องเที่ยวจะสามารถเข้ามาชมความสวยงามแบบธรรมชาติ และการชมบรรยากาศที่มีสัตว์ป่าหาดูยากแม้แต่ในสวนสัตว์ก็ยังไม่มี เพราะด้วยมีชายแดนติดกับทางฝั่งลาว จึงทำให้ที่นี่มีการผสมผสานกันระหว่างป่าทั้ง 5 แบบ คือ ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่านเบญจพรรณ ป่าสน และ ป่าเต็งรัง จึงทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพละสายพันธุ์สัตว์มากมาย ที่เข้ามาอยู่ในป่าแห่งนี้ จึงทำให้ดอยเสมอดาวมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีลานที่นักท่องเที่ยวสามารถที่จะพักผ่อนเพื่อกางเต็นท์ ซึ่งเหมาะกับนักเที่ยวที่ชอบแบกเป้ เพื่อเข้ามาอยู่น่วมกับป่าได้อย่างกลมกลืน และสามารถพบหิ่งห้อยในยามค่ำคืนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมากแก่นักเดินทางที่ได้เข้าไปกางเต็นท์ที่ดอยเสมอดาว

ธรรมชาติที่มาพร้อมกับความงามในแบบที่ตัวมันเป็น สามารถพาให้นักเดินทางทุกคน สนุกไปกับการเดินทางไปกับธรรมชาติ ทั้งยังสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับป่า ที่คนในยุคใหม่น้อยคนนักที่จะมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่ต้องการให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงกันได้อย่างเต็มที่ หรือถ้าใครไม่อยากนอนเต็นท์ก็มีบ้านพักเพื่อนักท่องเที่ยวแค่เพียง 3 หลังเท่านั้น ก่อนจะมาจึงต้องรีบโทรมาจองหรือสอบถามก่อนทุกครั้ง

ชวนเที่ยวพระธาตุศรีคูณ นครพนม

ในจังหวัดนครพนมนั้น สถานที่ศาสนสถานที่สำคัญอันเป็นสถานที่ซึ่งสาธุชนให้ความเคารพนับถืออีกทั้งยังถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในทางพระพุทธศาสนา ให้ได้มาศึกษาประวัติความเป็นมาขององค์พระธาตุเจดีย์ และสถาปัตยกรรมต่างๆขององค์พระธาตุซึ่งมีอยู่หลายสถานที่ด้วยกัน หากแต่มีอีกหนึ่งความศรัทธาที่ประชาชนให้ความเคารพนั่นก็คือ “พระธาตุศรีคูณ จังหวัดนครพนม” ซึ่งถือเป็นพระเจดีย์ธาตุประจำคนเกิดวันอังคาร

ประวัติความเป็นมานั้นระบุไว้ว่า  ปี พ.ศ. 2340 ได้มีการค้นพบพระธาตุศรีคูณต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุศรีคูณใน ปีพ.ศ.2486-2490  ซึ่งสาธุชนต่างให้ความเคารพศรัทธามาอย่างยาวนาน จวบจนปัจจุบัน  สำหรับองค์เจดีย์พระธาตุศรีคุณแห่งนี้  ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระธาตุศรีคุณ

ภายในวัดธาตุศรีคุณ มีเสนาสนะโดยทั่วไป ซึ่งมีการสร้างอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถ กุฏิพระ หรืออื่นๆ ล้วนแต่เป็นการก่อสร้างที่ไม่หรูหรา  เพราะความศรัทธานั้นไม่ได้เน้นที่ความหรูหราของวัตถุภายนอกที่ต้องสร้างกันอย่างใหญ่โตมมโหฬาร แต่เน้นไปที่ความเชื่อในผลของการทำดีแล้วได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล หรือการเจริญภาวนาที่ชาวพุทธสามารถกระทำได้

สถาปัตยกรรมของพระธาตุศรีคุณนั้น มีรูปแบบส่วนบนของพระธาตุ ที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับพระธาตุพนม  ทว่าก็ยังมีความแตกต่างให้เห็นอยู่นั่นก็คือ ชั้นที่ 1 นั้นจะมีอยู่ 2 ตอนด้วยกัน และมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ถูกประดับประดาไปด้วยลวดลายที่ทำมาจากปูนปั้น

ส่วนชั้นที่ 2 จะมีลักษณะที่สั้นกว่าพระธาตุพนม ภายในพระธาตุเจดีย์ศรีคุณนั้น ได้ทำการบรรจุพระธาตุพระอรหันต์  อันได้แก่ ธาตุของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และพระสังกัจจายนะ

ส่วนการกราบสักการะอย่างถูกต้องตามความเชื่อของชาวนครพนม คือ จะต้องมี ธูป 8 ดอกและเทียน 2 เล่ม นอกจากนี้ยังต้องเตรียม พวงมาลัย  ดอกไม้ ผ้าสีชมพู น้ำอบไทย  ข้าวเหนียวปิ้ง ข้าวพอง  มีความเชื่อกันว่า หากใครได้มากราบสักการะพระธาตุศรีคุณแล้ว จะได้รับอานิสงส์มาก เป็นผู้มีศักดิ์ศรีเป็นทวีคูณ สมกับนามของพระธาตุ

แต่ทว่า การจะบูชาพระธาตุให้เกิดอานิสงส์มาก ไม่ใช่เฉพาะแต่การบูชาด้วยดอกไม้ของหอมเสมอไป แต่เป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาถือเป็นการปฏิบัติบูชาที่มีอานิสงส์มาก

สำหรับการเดินทางมายังวัดพระธาตุศรีคุณสำหรับนักท่องเที่ยวนั้น สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทาง หลวงหมายเลข 212 ราว  7 กิโลเมตร จากนั้นให้เลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 223 อีกราว 20 กิโลเมตร จะถึงพื้นที่อำเภอนาแก แล้วเลี้ยวซ้ายต่อไปก็จะเห็นพระธาตุศรีคุณอันโดดเด่นเป็นสง่า

ชวนเที่ยววัดศาลาลอย นครราชสีมา

สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในภาคอีสานมีอยู่หลายแห่งด้วยกันหนึ่งในนั้นคือ วัดศาลาลอย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งวัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นวัดที่มีความเก่าแก่เป็นอย่างมาก เพราะถูกสร้างมาอย่างยาวนาน  ตั้งแต่สมัยที่ท้าวสุรนารีรบชนะกองทัพของเจ้าอนุวงษ์ ในปี พ.ศ. 2370 เรียกได้ว่า เป็นวัดที่ท้าวสุรนารี หรือย่าโมท่านสร้างขึ้นมานั่นเอง

ต่อมาเมื่อท้าวสุรนารีได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ก็ได้มีการอัญเชิญอัฐิของท่านไปเก็บไว้ยังไว้ยังวัดแห่งนี้ ขณะเดียวกันก็ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีขึ้นมาอีกด้วย เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ระลึกถึงเกียรติประวัติคุณงามความดีของท่าน

วัดศาลาลอยถูกสร้างมายาวนานมากกว่า 200 ปีแล้ว โดยสาเหตุเกิดจากเมื่อท้าวสุรนาที ได้ทำศึกสงครามจากทุ่งสัมฤทธิ์เสร็จสิ้น ซึ่งครานั้นได้รับชัยชนะ ระหว่างทางที่กลับมานั่นเอง ท่านได้พักที่ท่าตะโก แล้วได้สั่งการให้ทหารที่ติดตามมานั้น สร้างแพขึ้นมาให้เป็นรูปศาลาเสี่ยงทายลอยไปตามลำตะคอง

จากนั้นท่านจึงได้อธิษฐานไว้ว่า  หากแพนี้ได้ลอยไปถึงตรงไหน ก็จะสร้างตรงนั้นให้เป็นพระอารามไว้เป็นอนุสรณ์ ทว่าแพงดังกล่าวได้ลอยไกลไปถึงบริเวณลำตะคองฝั่งขวา ซึ่งสถานที่ตรงนั้นเป็นวัดร้าง ต่อมาท่านจึงได้สร้างวัดขึ้นมาตามการอธิษฐาน ในเวลาต่อมาวัดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า วัดศาลาลอย เพราะมีรูปแพเป็นลักษณะศาลาตามประวัตินั่นเอง

สำหรับความสำคัญของวัดศาลาลอยแห่งนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ซึ่งจะทำให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท้าวสุรนารี ยังมีความโดดเด่นของพระอุโบสถที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้มาชมกัน เนื่องจากพระอุโบสถแห่งนี้นั้น มีภาพพุทธประวัติปรากฏอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นภายในผนังโบถส์ มีจิตรกรรมของพุทธประวัติตอนผจญมาร , พระพุทธเจ้าเมื่อคราทรงเสด็จลงจากดาวดึงส์ปรากฏเป็นภาพที่ผนังโบสถ์ด้านหลัง , เรื่องราวพระเวสสันดรชาดกแสดงเป็นลักษณะของภาพนูนปรากฏที่บานประตูซึ่งเป็นโลหะ

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวในอิริยาบถยืน ปางห้ามสมุทร พระนามว่า”พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาล ศาลาลอยพิมาลวรสันติสุขมุนินทร์”

ด้านหน้าประตูของพระอุโบสถนั้น ปรากฏเป็นภาพของท้าวสุรนารีในรูปแบบของปูนนั้น ในอิริยาบถนั่งพนมมือกลางสระน้ำ โดยรอบตัวพระอุโบสถมีกำแพงแก้วรูปเสมา ส่วนอัฐิของท้าวสุรนารีถูกบรรจุอยู่ในสถูปเล็กๆ ปรากฏอยู่บริเวณด้านข้างพระอุโบสถ

นอกจากพระอุโบสถหลังใหม่ที่กล่าวมาแล้ว พระอุโบสถหลังเก่าก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากมีพุทธศิลป์ที่หาชมได้ยาก เพราะเป็นอุโบสถในลักษณะรูปแบบของเรือสำเภา โดยรอบพระอุโบสถถูประดับประดาไปด้วยกระเบื้องดินเผา

เที่ยวอย่างเต็มอิ่มไปกับอำเภอเมืองของแม่ฮ่องสอน

แม่ฮ่องสอนนั้นมีด้วยกันอยู่ 7 อำเภอ คือ อำเภอเมือง แม่สะเรียง ขุนยาว ปาย แม่ลาน้อย สบเมย และปางมะผ้า ซึ่งเป็น 7 อำเภอแห่งมนต์เสน่ห์ของแม่ฮ่องสอน ที่แต่ละอำเภอนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งหมด โดยอำเภอที่ถือว่ามีที่เที่ยวที่เยอะอย่างมาก คืออำเภอแรกของแม่ฮ่องสอนอย่างอำเภอเมือง ที่มีวัดพระธาตุดอยกองมูเป็นที่แรกที่น่าไปมากที่สุด เพราะเมื่อมาถึงที่แล้วก็ควรที่จะเข้าไปสักการะวัดคู่บ้านคู่เมืองที่เป็นที่ประดิษฐานของปูชนียสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ประกอบไปด้วยพระธาตุเจดีย์ทรงแบบมอญ และวิหารพระที่มีศิลปะของไทใหญ่ ที่นอกจากการมากราบไหว้เพื่อขอพรแล้ว ยังสามารถที่จะขึ้นไปชมวิวของแม่ฮ่องสอนในมุมสูงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

เมื่อได้กราบไหว้เพื่อขอพรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแล้ว ก็มาต่อที่ภูโคลนครันทรีคลับ ที่มีบริการด้านสุขภาพที่ไม่ว่าจะนวด ทำสปา แช่น้ำแร่ พอกโคลน อบซาวน่าก็มาทำกันได้อย่างสบาย ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการเดินทางมาทั้งวัน เป็นแหล่งของการรักษาสุขภาพ ที่ให้สายน้ำแร่และโคลนพอผิวแท้ 100% ซึ่งน่าจะถูกใจเหล่าสาว ๆ ที่มาเที่ยวที่นี่ได้เป็นอย่างดี และเอาใจนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวที่ชอบออกแรง และชอบการผจญภัยอย่างการเข้าถ้ำปลา ที่จะสามารถเข้าไปค้นหาปลาหายากที่สวยงาม ภายในถ้ำมีแอ่งน้ำที่มีน้ำไหลเข้าออกตลอดเวลา และมีปลาตัวโตที่มีสีเทาอมฟ้าที่ต่างก็แหวกว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะรอกินขนมปังจากผู้ที่โยนให้ สามารถเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี โดยปลาเหล่านี้คือปลามุงและปลาคัง ที่เป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ และไปต่อที่น้ำตกผาเสื่อ เป็นน้ำตกที่ไหลลงมาน้ำตกแม่สะงาในพม่าอยุ่ในตำบลหมอกจำแป่ ตัวน้ำตกจะมีความสูง 10 เมตร และน้ำใสสะอาดเป็นอย่างมาก
มาเพลิดเพลินกันต่อที่สะพานซูตองเป ที่เป็นภาษาไทใหญ่แปลความความสำเร็จ เป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยสร้างมาจากแรงพลังศรัทธาของชาวบ้านกุงไม้สัก ที่มีการร่วมแรงบริจาคไม้เก่า ไม่ไผ่ และกำลังทรัพย์ร่วมกับพระปลัดจิตตพัฒน์ อัคคปัญโญ ประธานสงฆ์สวนธรรมภูสมะ และคณะพุทธศาสนิกชน ร่วมกันสร้างด้วยเวลาเพียง 2 เดือน สะพานมีความยาวมากกว่า 500 เมตร เป็นสะพานที่ทอดยาวระหว่างชุมชนและวัดที่เมื่อเวลาหน้าฝน ก็สามารถใช้เป็นเส้นทางการสัญจรไปมาของชาวบ้าน ตลอดจนการให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต กันได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน และนักท่องเที่ยวที่ต้องการทำบุญก็สามารถที่จะรอใส่บาตรบนสะพานได้เลยทันที

เข้าสู่อ้อมกอดแห่งขุนเขาที่อุทยานแห่งชาติน้ำดัง

ลักษณะที่มีห้วยน้ำกระจายไปทั้งเล็กและใหญ่  มีภูเขาสูงที่สุดคือดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร จึงเป็นที่มาของชื่อห้วยน้ำดัง ในอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีฤดูหนาวที่อากาศเย็นสบาย ลมแรง ทั้งยังมีฝนตกชุกในบางช่วงและอากาศร้อนที่อุณหภูมิเฉลี่ย 34 องศา เป็นจุดชมวิวที่บริเวณห้วยน้ำดังที่ถือว่าสวยงามและขึ้นชื่อที่สุดอีกแห่งหนึ่ง สามารถที่จะชมอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกได้ ทั้งยังสามารถมองเห็นดอยเชียงดาวได้อย่างชัดเจน และในช่วงปลายฤดูหนาวดอกไม่ของที่นี่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ เพิ่มความสวยงามให้กับดอยเป็นอย่างมาก

สถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นจุดเด่นก็คือหนีไม่พ้นจุดชมวิวห้วยน้ำดัง หรือที่ตั้งของหน่วยพัฒนาน้ำที่ 2 ที่เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุด พร้อมทั้งมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านของการท่องเที่ยว ที่สามารถจะชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้อย่างงดงาม และเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่ต้องการมาเที่ยวชมทะเลหมอกที่สวยงาม และพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ในช่วงฤดูหนาวนั้นจะมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามเป็นอย่างมาก ทิวทัศน์ของภูเขาอันสลับซับซ้อนที่มีดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่สูงที่สุด และจุดชมวิวดอยช้างที่อยู่เหนือจุดชมวิวของห้วยน้ำดังขึ้นไปอีก 20 กิโลเมตร มีความสูงจนสามารถเห็นทะเลหมอกได้อย่างชัดเจนในตอนเช้า และมีภูเขาที่สลับซับซ้อนพร้อมป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิดที่หายาก และยังมีโขดหินแปลก ๆ มากมายที่มีความสูงถึง 501 เมตร กว้าง 10 เมตร และยังมีน้ำตกที่สวยงาม น้ำใสน่าลงเล่นที่มีชั้น 3-4 ชั้นและยังมีสภาพโดยรวมที่ชุ่มชื้น เมื่อเที่ยวชมเสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่โป่งร้อน อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติแม่ปายฝั่งตอนซ้าย ที่จะมีดินแดนที่ติดกับแม่ฮ่องสอน และมีบ่อน้ำร้อนที่ขึ้นชื่อและหมอกควันจากบ่อที่ขึ้นมาปกคลุมพื้นที่เต็มไปหมด และยังมีต้นสักที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

ทั้งนี้ยังมีน้ำตกแม่เย็นที่เกิดมาจากห้วยแม่เย็นหลวง ที่มีน้ำสะอาดใสเป็นอย่างมาก และยังมีน้ำตกแม่แม่ลาดและน้ำตกแม่หาดที่มีบริเวณอยู่ใกล้เคียงกัน และยังมีความสูงของน้ำตกที่เท่ากันอยู่ที่ 40-50 เมตร และไม่ควรพลาดที่จะแวะไปเยี่ยมที่พระตำหนักเอื้องเงินที่เป็นอาคารทรงชาเลย์ของทางสวิตเซอร์แลนด์ ที่เป็นอดีตที่ประทับของพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาที่มีความสวยงามและมีการปลูกพันธุ์กล้วยไม้ท้องถิ่นมากมาย ที่มีการเปิดให้ประชาชนสามารถที่จะเข้าไปสัมผัสความงามได้อีกด้วย

เขาโมโกจูตำนานขุนเขาแห่งความหนาวเย็นในประเทศไทย

โมโกจูเป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่าเหมือนฝนจะตก มาจากการที่ยอดเขามักจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆอยู่ตลอดเวลา และยังมีอากาศที่หนาวเย็นไปตลอดทั้งปี โดยในช่วงฤดูหนาวนั้นก็ยิ่งมีอากาศที่เย็นยะเยือกมากขึ้นไปอีก ถ้ามองขากยอดเขาลงไปก็จะได้เห็นทะเลหมอกที่ห่มปกคลุมผืนป่าไปจรดขอบฟ้าที่กว้างไกลสุดสายตา และยังเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงศ์ โดยห่างจากที่ทำการของอุทยานประมาณ 27 กิโลเมตร สามารถเดินเท้าไปและกลับด้วยเวลา 5 วัน แต่ถึงแม้ว่านะยะทางจะไกลและเดินเท้านานขนาดนี้ แต่เหล่านักท่องเที่ยวก็ยังพากันมาเพื่อจุดมุ่งหมายเดียว คือการได้พิชิตยอดเขาโมโกจูที่จะสามารถสร้างสร้างความประทับใจให้กับชีวิตในครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

การจะเข้าท่องเที่ยวหรือเดินป่าเพื่อขึ้นเขาโมโกจูนั้น จะต้องมีการมาติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานก่อนทุกครั้ง เพื่อที่จะจองช่วงเวลากับทางอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และจะต้องมีการดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนของทางอุทยานอย่างเคร่งครัด และการเตรียมความพร้อมในเรื่องของสัมภาระที่จะเตรียมไป และการเตรียมร่างกายให้แข็งแรงพร้อมที่จะเดินทางไปถึงยอดที่ใช้เวลาไปและกลับถึง 5 วัน ทั้งยังต้องมีการแวะพักแรมในป่าตามจุดที่ทางอุทยานได้กำหนดเอาไว้ แต่ระหว่างทางที่เดินนักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินชมและศึกษาธรรมชาติของอากาศ พันธุ์พืชและเส้นทางการเดินทางไปได้โดยตลอด ซึ่งก่อนที่จะทำการขึ้นไปสู่ยอดเขาเขาโมโกจู จะต้องมีการอบรมและแนะนำนักท่องเที่ยว เพื่อการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่กำลังจะเดินทาง ให้ได้รู้ในสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในระหว่างการเดินทาง และในช่วงระหว่างการเดินทางก็ยังจะได้พบกับความสวยงามของน้ำตกแม่รีวา ที่จะอยู่ห่างจากแคมป์พักแรมจุดที่ 1 เพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น พอเข้าวันที่ 3 ที่จะต้องเริ่มมีการปีนเขาโมโกจู ก็จะได้พบกับความงามของทิวเขา ม่านหมอกและเมฆสวย ที่ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 20 นาที ก็จะถึงยอดตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้

เมื่อถึงเป้าหมายและแคมป์พักบนยอดเขาแล้ว ก็สามารถที่จะวางสัมภาระและสะพายกล้องเพื่อถ่ายรูปความสวยงามตรงจุดที่ถือว่าเป็นยอดสุดของเขา ที่เรียกว่าหินเรือใบเป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวได้กว้างไกล ได้เห็นทะเลหมอกและม่ายเมฆที่ผสมกันอย่างลงตัว เปรียบเสมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ที่สามารถขึ้นไปยืนอยู่เหนือเมฆได้อย่างสบาย ๆ เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ว นักท่องเที่ยวทุกคนจะรู้สึกว่าหายเหนื่อย และคุ้มค่าต่อการเดินทางมาเป็นอย่างมาก ความเหนื่อยที่สะสมมาก็จะหายไปปลิดทิ้งอย่างแน่นอน